วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2561

เสริมหน้าอก มั่นใจ ทรงสวยธรรมชาติ

เนินอกอวบอิ่มด้วยซิลิโคนทรงกลม-อกสวยเป็นธรรมชาติด้วยทรงหยดน้ำ

ผู้หญิงที่มีขนาด หน้าอกใหญ่ อวบอิ่มมักจะรู้สึกมั่นใจ แต่งตัวก็ออกมาดูสวย มีส่วนโค้งส่วนเว้าน่ามอง ส่วนสาวอกเล็กมักรู้สึกว่าเป็นปมด้อย โดนทักว่าอกไข่ดาวบ้างล่ะ บางทีถูกแซวว่าอกแบนเป็นไม้กระดานก็มีบ่อย ทำให้รู้สึกเสียเซลฟ์อยู่ไม่น้อย วิธีแก้ปัญหาแบบไม่ต้องเสียเวลาดันทรงทุกครั้งยามแต่งตัวคือผ่าตัด เสริมหน้าอก ใส่ซิลิโคนเพิ่มความอึ๋มไปเลย การ ทำนม สมัยนี้เป็นเรื่องแสนธรรมดากระทั่งว่าในบรรดาการศัลยกรรมความงามทั้งหมดการ ทำหน้าอก กลายเป็นศัลยกรรมที่ได้รับความนิยมในอันดับต้นๆ เลยทีเดียว ปัจจุบัน การ เสริมหน้าอก มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในด้านเทคนิคและถุงซิลิโคนที่ใช้เสริม ซิลิโคนมีให้เลือกทั้งแบบทรงกลมหากต้องการเสริมแล้วได้เนินอกสวยอวบอิ่ม หรือถ้าชอบแบบสวยเป็นธรรมชาติก็ต้องเป็นทรงหยดน้ำที่รูปร่างซิลิโคนทำเลียนแบบเต้านมธรรมชาติจริงๆ

แต่เดิมถุงซิลิโคนจะผลิตขึ้นรูปมาเป็นทรงกลมอย่างเดียว แต่ปัจจุบันมีการพัฒนารูปทรงถุงซิลิโคนเป็นทรงหยดน้ำ แถมกระแสก็มาแรงในหมู่คนที่ต้องการเสริมหน้าอกด้วย



ซิลิโคนทรงกลม แม้ว่ากระแสซิลิโคนทรงหยดน้ำจะมาแรง แต่ซิลิโคนทรงกลมยังคงเป็นตัวเลือกที่เป็นมาตรฐานและดีที่สุด สำหรับคนที่ต้องการเสริมหน้าอกโดยทั่วไป, คนที่ต้องการเสริมหน้าอกขนาดใหญ่ หรือคนที่ต้องการเสริมให้เนื้อหน้าอกบริเวณด้านบนดูอวบอิ่มขึ้นเพื่อโชว์เนินอก ซิลิโคนทรงกลมมีขนาดที่หลากหลาย มีทั้งทรงพุ่งมากและพุ่งน้อย ในการเสริมก็ต้องเลือกให้เหมาะกับลักษณะของเต้านม, รูปร่างลำตัวของแต่ละคน เช่น ถ้าฐานเต้านมเล็กก็ควรเลือกซิลิโคนที่ขนาดไม่กว้างมาก หรือถ้าเต้านมพุ่งอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเสริมด้วยทรงที่พุ่งมาก เป็นต้น นอกจากนั้นซิลิโคนทรงกลมจะมีความนุ่ม และขอบที่โค้งมนเข้ารูป เมื่อเสริมแล้วความรู้สึกสัมผัสบริเวณเต้านมจะนิ่มเป็นธรรมชาติ

ซิลิโคนทรงหยดน้ำ เป็นทรงที่ถูกออกแบบมาให้เลียนแบบเต้านมตามธรรมชาติที่ลักษณะคล้ายหยดน้ำ คือบริเวณส่วนล่างจะใหญ่กว่าส่วนบน หน้าอกหลังเสริมจึงดูเป็นธรรมชาติ และด้วยทรงของซิลิโคนที่ไม่สมมาตร หลังทำนมจึงไม่จำเป็นต้องนวด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการบิดเบี้ยว นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้ซิลิโคนทรงหยดน้ำเป็นกระแสขึ้นมา อย่างไรก็ตาม การเสริมด้วยซิลิโคนทรงหยดน้ำ เวลาจับหรือสัมผัสเต้านมจะรู้สึกถึงซิลิโคนได้ โดยเฉพาะในคนที่มีผิวบาง เนื้อหน้าอกน้อย เพราะซิลิโคนเจลภายในของทรงหยดน้ำจะค่อนข้างแข็ง ไม่ค่อยยืดหยุ่น ซิลิโคนทรงหยดน้ำเหมาะกับคนที่ไม่ต้องการทำหน้าอกที่ใหญ่มากหรือเสริมแล้วไปเพิ่มความนูนของเนินด้านบนหน้าอก, คนที่ต้องการให้ทรงดูเป็นธรรมชาติ หรือคนที่หน้าอกหย่อนคล้อยเล็กน้อยหรือปานกลาง จะช่วยให้เต้านมเชิดขึ้นได้

นอกจากเรื่องของทรงถุงซิลิโคนที่พูดไปข้างต้น ยังมีข้อน่ารู้อื่นๆ เกี่ยวกับถุงซิลิโคน ทุกวันนี้ถุงซิลิโคนที่แพทย์ใช้ เสริมหน้าอก มีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ ถุงซิลิโคนเจล และ ถุงซิลิโคนน้ำเกลือ สองแบบนี้แตกต่างกันตรงที่ถ้าเป็นถุงซิลิโคนน้ำเกลือ เปลือกนอกของถุงจะเป็นซิลิโคนและภายในกลวง โดยมีช่องทางหรือวาล์วให้เติมน้ำเกลือให้ได้ขนาดตามต้องการ ส่วนถุงซิลิโคนเจลภายในจะบรรจุด้วยซิลิโคนที่เป็นชนิดเจลโดยผลิตสำเร็จรูปมาจากโรงงานมีขนาดต่างๆ กันไป

ถึงจะมีสองแบบให้เลือก แต่ทุกวันนี้ศัลยแพทย์ส่วนใหญ่รวมถึงที่ รพ.ยันฮี นิยม เสริมหน้าอก ด้วยถุงซิลิโคนเจล เนื่องจากถุงน้ำเกลือมีโอกาสเกิดการรั่วซึมหรือแฟบได้เมื่อใช้ไปนานๆ แม้ว่าน้ำเกลือที่รั่วซึมออกมานั้นไม่มีอันตรายแต่อย่างใดร่างกายสามารถขับออกได้ แต่ก็ต้องมาผ่าตัดเปลี่ยนถุงกันใหม่ ขณะที่ปัญหาการแตกรั่วของถุงซิลิโคนเจลแทบไม่มี ยิ่งสมัยนี้ถุงเจลมีการพัฒนาไปมาก เนื้อเจลภายในถุงมีการเกาะตัวกันสูงทำให้โอกาสจะแตกรั่วหรือซึมผ่านออกมานอกถุงเป็นไปได้ยากมาก นอกจากนั้นในเรื่องของความยืดหยุ่นหรือความนุ่มของถุงซิลิโคนเจลพบว่ามีความยืดหยุ่นใกล้เคียงกับเต้านมธรรมชาติมากกว่า

ส่วนผิวของถุงซิลิโคนที่ใช้ๆกันอยู่ทุกวันนี้ จะมีลักษณะผิว 2 แบบ คือ ผิวเรียบ และ ผิวขรุขระ หรือผิวทราย สำหรับชนิดผิวเรียบนั้นมีการใช้งานกันมานานมากแล้ว แต่พบว่ามีปัญหาเกิดเป็นพังผืดรัดถุงซิลิโคนทำให้เต้านมผิดรูปและแข็ง จึงได้มีการพัฒนาซิลิโคนผิวทรายขึ้นมา เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนดังกล่าว ถึงวันนี้ศัลยแพทย์ส่วนมากจะหันมาเลือกใช้ซิลิโคนผิวทรายเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ซิลิโคนผิวเรียบก็มีที่ใช้กันอยู่ อย่างในกรณีมีเนื้อหน้าอกบางมากๆ การใช้ซิลิโคนผิวทรายอาจจะมองเห็นเป็นคลื่น (Rippling) ได้ หรือในคนที่ต้องการใส่ขนาดที่ใหญ่มากๆ การจะสอดซิลิโคนผ่านแผลผ่าตัด หากเป็นผิวเรียบจะทำได้สะดวกกว่าเพราะบีบให้เล็กลงได้ง่ายและมีความลื่นมากกว่า หรือบางคนที่ต้องการผิวสัมผัสที่นุ่มมือมากกว่าแพทย์ก็จะแนะนำชนิดผิวเรียบ

แพทย์ผ่าตัดใส่ซิลิโคนเข้าไปทางใด?

โดยทั่วไป ศัลยแพทย์จะผ่าตัดใส่ถุงซิลิโคนเข้าไปในเต้านมผ่านช่องทางใดช่องทางหนึ่งดังนี้

ใต้รักแร้สองข้าง เป็นตำแหน่งที่นิยมผ่าตัดมากที่สุดเพราะสามารถซ่อนรอยแผลผ่าตัดได้ดี แม้หลังทำจะเจ็บมากกว่าการเปิดแผลที่ตำแหน่งอื่น แต่แผลจะหายเร็วกว่าและสามารถเริ่มนวดหน้าอกได้เร็ว โอกาสจะเกิดปัญหาเรื่องพังผืดมารัดตัวถุงซิลิโคนจะน้อยลง
บริเวณปานนม เหมาะทำในคนที่หน้าอกหย่อนคล้อยโดยจะเสริมหน้าอกไปพร้อมกับยกกระชับหน้าอก หลังเสริมจะมีแผลเป็นที่ปานนม และอาจมีปัญหาหัวนมชาชั่วคราวได้
ใต้ราวนม จะมีแผลผ่าตัดใต้ราวนมยาวประมาณ 3-4 ซม. ซึ่งต้องรอให้แผลหายดีก่อนจึงจะเริ่มนวดหน้าอกได้
การ เสริมหน้าอก ด้วยซิลิโคนทรงกลม สามารถเปิดแผลผ่าตัดเพื่อใส่ซิลิโคนเข้าช่องทางใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นใต้รักแร้สองข้าง, บริเวณปานนม หรือใต้ราวนม โดยที่ซิลิโคนไม่เสียรูปทรง แต่ส่วนใหญ่แล้วแพทย์จะนิยมผ่าเข้าบริเวณใต้รักแร้เพื่อซ่อนรอยแผลเป็น ส่วนการเสริมซิลิโคนทรงหยดน้ำ แพทย์จะเปิดแผลใต้ราวนม โดยจะเปิดช่องสำหรับวางซิลิโคนให้พอดีไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไป เพื่อไม่ให้ซิลิโคนหมุนตัวได้ จนอาจเกิดปัญหาถุงซิลิโคนผิดรูปหรือเต้านมบิดเบี้ยว บางคนอาจสงสัยว่าทรงหยดน้ำจะผ่าตัดใส่เข้าทางรักแร้ได้หรือไม่ ก็ต้องบอกเลยว่าหากผ่าเข้าทางรักแร้มีโอกาสที่ซิลิโคนจะหมุนบิดเสียทรงได้ ในคนที่เนื้อนมหนาก็อาจไม่เห็นแต่ถ้าเนื้อนมบางจะเห็นชัดเจน แล้วรูปทรงที่เปลี่ยนจะแก้ไขยาก ดังนั้นแพทย์จะไม่แนะนำให้ผ่าเข้าทางรักแร้

แพทย์วางซิลิโคนไว้ตำแหน่งไหนของเต้านม?

ตำแหน่งที่แพทย์จะวางซิลิโคนจะมีอยู่ 2 ตำแหน่ง คือ วางใต้กล้ามเนื้อ หรือ วางใต้ตัวเนื้อนม ซึ่งแพทย์จะเลือกตำแหน่งไหนนั้นจะดูลักษณะโครงสร้างเต้านมเป็นหลัก ไม่ได้ขึ้นกับความพอใจของผู้ที่มาเสริมอกอย่างเดียว

กรณีวางใต้กล้ามเนื้อ การวางที่ตำแหน่งนี้จะต้องมีการตัดกล้ามเนื้อบางส่วนออกไป ตอนทำจึงเจ็บมากและต้องพักฟื้นนาน แต่หลังเสริมจะได้เนินอกสวยลาดเอียงเป็นธรรมชาติ ลดปัญหาการคลำเจอหรือมองเห็นขอบถุงซิลิโคน ลดโอกาสที่ถุงซิลิโคนจะหย่อนคล้อย และโอกาสที่จะเกิดพังผืดเกาะรอบซิลิโคนมีน้อย

กรณีวางใต้ตัวเนื้อนม หลังเสริมเต้านมจะชิดกันดูสวยงาม แถมยังไม่ค่อยเจ็บเพราะไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ แต่ตำแหน่งนี้มีโอกาสเกิดพังผืดสูง และไม่เหมาะกับคนที่รูปร่างผอม เนื้อเต้านมน้อย เพราะจะเห็นขอบซิลิโคนชัดเจน

การ เสริมหน้าอก ไม่ว่าจะวางซิลิโคนไว้ตรงตำแหน่งไหนไม่มีผลต่อการให้นมบุตร เนื่องจากถุงซิลิโคนวางอยู่ด้านใต้เนื้อนมส่วนที่ใช้สร้างน้ำนม จึงไม่มีผลกระทบต่อการสร้างน้ำนมแต่อย่างใด หากตั้งครรภ์ก็สามารถให้นมบุตรได้ตามปกติ

ต้องนวดหน้าอกหลังเสริมหรือไม่?

นี่คงเป็นข้อสงสัยในใจของหลายๆ ท่าน ด้วยที่ผ่านมาหลังเสริมแพทย์มักจะกำชับให้นวดหน้าอกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการ เสริมหน้าอก ด้วยถุงซิลิโคนนั้น ร่างกายจะสร้างพังผืดมาห้อมล้อมถุงซิลิโคนไว้เสมอ ถ้าพังผืดมีมากก็อาจทำให้เต้านมมีลักษณะแข็งตึงไม่เหมือนธรรมชาติได้ แต่เดี๋ยวนี้ก็มีที่ว่าเสริมแล้วไม่ต้องนวดด้วย ทำให้บางท่านอาจสับสน ดังนั้นขออธิบายให้เข้าใจพอสังเขปดังนี้

หลังเสริมแล้วไม่ต้องนวดจะแบ่งเป็น 2 กรณีคือ

กรณีเสริมด้วยซิลิโคนทรงกลม ที่เป็นถุงซิลิโคนเจลรุ่นใหม่ๆ คุณภาพสูง ซึ่งเจลที่อยู่ภายในถุงซิลิโคนมีความหนาแน่นสูง มีโมเลกุลเชื่อมโยงกันเป็นอย่างดี โอกาสเกิดพังผืดจะน้อยมากเมื่อเทียบกับถุงเจลเสริมหน้าอกทั่วไป หากเสริมซิลิโคนขนาดไม่ใหญ่ก็ไม่จำเป็นต้องนวด แต่ ถ้าเสริมขนาดใหญ่ตั้งแต่ 300 ซี.ซี. ขึ้นไป ต้องนวดให้มีการขยับของซิลิโคนบ้างป้องกันการเกิดพังผืด
กรณีเสริมด้วยซิลิโคนทรงหยดน้ำ ด้วยลักษณะรูปทรงเฉพาะหากนวดอาจมีโอกาสบิดเบี้ยวผิดรูปได้ โดยปกติแพทย์จะไม่แนะนำให้นวดเลย แต่ถ้าใส่ขนาดใหญ่ตั้งแต่ 300 ซี.ซี. ขึ้นไป อาจต้องนวดบ้างเล็กน้อยให้มีการขยับของซิลิโคนบ้างเพื่อป้องกันพังผืด แพทย์จะแนะนำวิธีการนวดที่ถูกต้องให้ เพราะหากนวดผิดวิธี ก็อาจเสี่ยงทำให้ เต้านมบิดเบี้ยวผิดรูป
ในกรณีเสริมด้วยซิลิโคนทรงกลมทั่วไป ที่ไม่ใช่ซิลิโคนเจลรุ่นใหม่ หลังเสริมจะต้องทำการนวดหน้าอก เพื่อป้องกันปัญหาการเกิดพังผืดหดรัดถุงซิลิโคนทำให้เต้านมที่เสริมไปแข็งตัว โดยปกติซิลิโคนทรงกลมจะนวดได้ง่าย ไม่ต้องกังวลว่าจะเสียทรงหรือบิดเบี้ยวเหมือนทรงหยดน้ำและแพทย์มักแนะนำให้นวดนานประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี ควรรอให้หายเจ็บปวดก่อนจึงจะเริ่มนวดโดยนวดเบาๆ รอบเต้านม วันละ 2-3 รอบ รอบละประมาณ 3-5 นาที กรณีเสริมด้วยซิลิโคนผิวทราย ควรเริ่มนวดหลังจากสองสัปดาห์ไปแล้ว ถ้ารีบนวดอาจทำให้เกิดการเสียดสีกับโพรงใต้กล้ามเนื้อทำให้เกิดเลือดซึมออกมาภายในได้ และไม่จำเป็นต้องนวดบ่อย เพราะโดยผิวที่ขรุขระของถุงซิลิโคนจะช่วยลดการเกิดพังผืดได้ในระดับหนึ่ง ส่วนการเสริมด้วยซิลิโคนผิวเรียบสามารถเริ่มนวดได้เร็วและจะไม่ค่อยเจ็บมากเวลานวด



เตรียมตัวอย่างไรก่อน เสริมหน้าอก

เมื่อมาพบแพทย์ควรสอบถามแพทย์ให้เข้าใจเกี่ยวกับการเสริมหน้าอก เช่น ซิลิโคนที่ใช้, เทคนิคการผ่าตัด, การดูแลหลังทำ, ภาวะแทรกซ้อน เป็นต้น เพื่อความเข้าใจและมั่นใจที่จะเข้ารับการผ่าตัด ตลอดจนแจ้งแพทย์ให้ทราบว่าต้องการหน้าอกขนาดใหญ่เท่าไร หรือขนาดของซิลิโคนที่ต้องการ แต่ทั้งนี้ การเลือกขนาดซิลิโคนจะต้องคำนึงถึงเนื้อนมว่ามีมากพอที่จะรองรับด้วยหรือไม่ ซึ่งแพทย์จะช่วยพิจารณาและแนะนำ
แจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบ เช่น โรคประจำตัว, ยาที่รับประทานเป็นประจำ ควรนำยาที่รับประทานอยู่ทั้งหมดมาปรึกษาแพทย์ก่อนทำผ่าตัด
ผู้เข้ารับการผ่าตัดจะได้รับการตรวจสุขภาพร่างกายทั่วไป และตรวจเลือดก่อนผ่าตัด
งดการใช้ยาที่มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน ประมาณ 2 สัปดาห์ และงดวิตามิน อาหารเสริมที่มีผลต่อการบวมช้ำของแผลได้ เช่น วิตามิน A, วิตามิน E, น้ำมันตับปลา ประมาณ 1สัปดาห์ ก่อนผ่าตัด
งดสูบบุหรี่ทั้งก่อนและหลังผ่าตัดเสริมนม ประมาณ 2 สัปดาห์ เนื่องจากนิโคตินในบุหรี่อาจจะลดประสิทธิภาพในการหายของแผล และงดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1 สัปดาห์
เนื่องจากการผ่าตัดเสริมหน้าอกแพทย์จะต้องมีการเลาะช่องสำหรับใส่ถุงซิลิโคนในบริเวณกว้างพอสมควร และเพื่อลดความเครียดกังวลใจขณะผ่าตัด จึงต้องทำโดยการดมยาสลบ ก่อนผ่าตัดต้องงดอาหารและน้ำอย่างน้อย 6 ชั่วโมง เพื่อมิให้เกิดการสำลักอาหารที่อาจจะค้างในกระเพาะอาหารได้ในระหว่างดมยาสลบ
ขั้นตอนการผ่าตัด เสริมหน้าอก

แพทย์จะเปิดแผลผ่าตัดซึ่งส่วนมากจะเป็นที่รักแร้ เนื่องจากสามารถซ่อนรอยแผลเป็นได้ดี จากนั้นจะเลาะช่องสำหรับวางถุงซิลิโคน อาจเป็นใต้ตัวเนื้อนมหรือใต้กล้ามเนื้อหน้าอกก็ขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ เมื่อจัดวางถุงซิลิโคนเข้าที่เรียบร้อยแล้วก็จะเย็บแผลปิดด้วยไหมขนาดเล็ก ๆ โดยทั่วไป การผ่าตัดเสริมหน้าอกจะใช้ระยะเวลาในการผ่าตัดประมาณ 2-3 ชั่วโมง หลังการผ่าตัดต้องนอนพักในโรงพยาบาล 1 – 2 วัน ระยะเวลาในการพักฟื้นประมาณ 1 สัปดาห์ ในช่วง 2 -3 วันแรกหลังทำอาจมีความรู้สึกตึงและปวดได้ ถือว่าเป็นอาการปกติ ส่วนตัวเต้านมจะค่อย ๆ ยุบบวมลงจนเข้าที่ใช้เวลาประมาณ 1 – 2 เดือน

การปฏิบัติตนหลังผ่าตัด เสริมหน้าอก

ในช่วง 7 วันแรกหลังผ่าตัด ควรระมัดระวังไม่ให้แผลผ่าตัดโดนน้ำ
งดยกสิ่งของหนักเหนือศีรษะ และงดกิจกรรมหนักหรือใช้กำลังมาก ประมาณ 1 เดือน
ในช่วงฟื้นตัวระยะแรกควรหลีกเลี่ยงเสื้อชั้นในแบบมีโครง เพราะแรงดันจากโครงอาจทำให้เกิดรอยบนหน้าอกตามแนวโครงได้
แผลผ่าตัดโดยมากใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ก็มาตัดไหมได้ ส่วนแผลเป็นจะจางหายไปใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือน
หากแพทย์แนะนำให้นวดหน้าอกควรทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการเกิดพังผืดจนเต้านมแข็งตึงไม่เป็นธรรมชาติ
หากมีอาการผิดปกติควรกลับมาพบแพทย์โดยไม่ต้องรอให้ถึงวันนัด
ผู้ที่ผ่าตัดเสริมหน้าอก ควรหมั่นตรวจดูเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำ เพื่อดูลักษณะเต้านมว่ายังคงสภาพปกติดีหรือไม่ หากมีข้อสงสัยหรือปัญหาควรปรึกษาแพทย์
ซิลิโคน เสริมหน้าอก มีอายุการใช้งานนานแค่ไหน?

โดยทั่วไปอายุการใช้งานของซิลิโคนจะประมาณ 10 ปีขึ้นไป ถ้าเป็นซิลิโคนทรงกลมรุ่นที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันจะมีอายุการใช้งานตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป แต่ถ้าเป็นซิลิโคนทรงหยดน้ำ อายุการใช้งานจะนานกว่า คือ 15 ปีขึ้นไป เนื่องจากคุณภาพของเจลดีกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่าเมื่อถึงระยะเวลาที่ว่าแล้วจะต้องมาผ่าตัดเปลี่ยนถุงซิลิโคนใหม่ทุกราย ถ้าไม่มีปัญหาหรืออาการผิดปกติใดๆ ก็ยังไม่ต้องผ่าตัดเปลี่ยนใหม่ เพียงแต่หลังจากทำไปนานๆ เช่น หลังเสริมไปแล้ว 10 ปี ควรได้รับการตรวจเต้านมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อดูความผิดปกติของซิลิโคน เช่น การตรวจแมมโมแกรม (Mammogram) หรือการสังเกตว่าซิลิโคนหมดอายุหรือไม่ อาการที่บ่งบอกว่าซิลิโคนหมดอายุคือ เริ่มแรกหน้าอกจะนิ่มมาก นาน ๆ ไปจะค่อยๆ แข็งเป็นก้อน ถ้ามีก็ควรรีบไปพบแพทย์ สำหรับท่านที่เสริมหน้าอกมานาน ๆ หลายปีแล้ว และหากเกิดปัญหาถุงซิลิโคน เช่น ซิลิโคนแตก รั่วซึม สามารถผ่าตัดเปลี่ยนเป็นถุงซิลิโคนชนิดใหม่ที่มีความปลอดภัยสูงขึ้นได้

ถุงซิลิโคนเจลเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านมหรือไม่?

การ เสริมหน้าอก ด้วยถุงซิลิโคนเจลไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งของเต้านมแต่อย่างใด และพบว่าไม่ได้เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยหลายโรคที่ในอดีตเคยคิดว่าเกี่ยวข้องกับถุงซิลิโคน ยิ่งในปัจจุบันหากใช้ถุงซิลิโคนเจลที่มีคุณภาพสูงหรือถุงซิลิโคนเกรดเอ แม้ว่าถุงซิลิโคนจะแตกรั่วขึ้นมาก็ไม่เป็นสาเหตุก่อให้เกิดมะเร็งเต้านมได้ ส่วนกรณีถุงซิลิโคนหมดอายุ ถ้าไม่เอาออกแม้จะไม่มีโอกาสเกิดมะเร็ง แต่ในระยะยาวหน้าอกจะแข็งเป็นก้อน และเกิดพังผืดรัดแน่นบริเวณซิลิโคนได้ จึงควรพบแพทย์ผ่าตัดเปลี่ยนถุงซิลิโคนใหม่

ก่อนจากกันฝากไว้อีกเรื่อง จะ ทำนม เสริมอึ๋มเพิ่มขนาดให้ หน้าอกใหญ่ ขึ้นทั้งที ก็ควรทำให้สวยครบกันไปเลย ถ้าหัวนมหรือปานนมไม่สวยงาม ทำให้ความมั่นใจมาไม่เต็มร้อย แนะนำให้ผ่าตัด ตกแต่งหัวนม หรือ ตกแต่งปานนม ไปพร้อมกับการเสริมเต้านมเลยก็ดี ต่อไปเวลาส่องกระจกจะได้เห็นเต้านมสวยๆ โดยไม่มีอะไรให้สะดุดค่ะ

เสริมหน้าอกมาแล้ว พบว่าหน้าอกข้างหนึ่งนิ่ม ข้างหนึ่งแข็ง จะเป็นอะไรหรือไม่ และต้องทำอย่างไร
หลังการผ่าตัดหากยังไม่ครบ 1 เดือน ให้นวดคลึงบริเวณหน้าอกเพื่อลดความแข็งตัวของเต้านม แต่ถ้าเกิน 6 เดือนไปแล้วหน้าอกยังแข็ง ต้องมาพบแพทย์เพื่อทำการผ่าตัดพังผืดออก
—————————————————-
เสริมหน้าอกแล้วสามารถให้นมบุตรได้หรือไม่
หลังการเสริมหน้าอก สามารถให้นมบุตรได้ตามปกติ เนื่องจากไม่ได้ผ่าตัดบริเวณท่อน้ำนม และท่อน้ำนมยังคงผลิตน้ำนมได้ตามปกติ
—————————————————-
ซิลิโคนเสริมหน้าอกมีกี่แบบ
ซิลิโคนที่ใช้ในการเสริมหน้าอกมี 2 แบบ คือ
• ซิลิโคนทรงกลม เหมาะกับคนที่ต้องการเสริมหน้าอกขนาดใหญ่ หลังเสริมจะไม่เกิดการหมุนผิดรูปของซิลิโคน คนไข้ต้องนวดหน้าอก เพื่อป้องกันการเกิดพังผืดหดรัดถุงซิลิโคน
• ซิลิโคนทรงหยดน้ำ เหมาะกับคนที่ไม่ต้องการหน้าอกใหญ่มาก หลังเสริมจะได้หน้าอกที่ดูเป็นธรรมชาติ คนไข้ไม่ต้องนวดเต้านมหรือนวดบ้างเล็กน้อย เพราะการนวดผิดวิธีอาจเสี่ยงที่เต้านมจะบิดเบี้ยวผิดรูปได้
—————————————————-
ในการเสริมหน้าอก แพทย์จะใส่ซิลิโคนเข้าทางไหน
โดยปกติ ในการเสริมหน้าอกแพทย์จะเปิดแผลผ่าตัดเพื่อใส่ซิลิโคน 3 ตำแหน่ง ดังนี้
• บริเวณรักแร้
• บริเวณปานนม
• บริเวณฐานนม
แต่ส่วนใหญ่คนไทยและคนเอเชียมักนิยมผ่าตัดที่บริเวณรักแร้ เนื่องจากสามารถซ่อนรอยแผลได้ดี เริ่มนวดหน้าอกได้เร็ว และแผลจะหายเร็วและสวยกว่าผ่าตัดเข้าทางอื่น
—————————————————-
การเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนจะก่อให้เกิดโรคมะเร็งเต้านมหรือไม่
การเสริมหน้าอกไม่ได้เป็นตัวกระตุ้นหรือก่อให้เกิดมะเร็งเต้านมแต่อย่างใด เพราะซิลิโคนที่ใช้ในการเสริมหน้าอกนั้นได้ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) แล้วว่ามีความปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย

เปิดเส้นทางชีวิต “Kate Spade” ดีไซน์เนอร์แบรนด์ดังระดับโลก

การจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับของ เคท สเปด หรือ เคท วาเลนไทน์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ดังอย่าง Kate Spade New York ถือเป็นหนึ่งในความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่สำหรับวงการแฟชั่นระดับโลก อย่างไรก็ตามถึงแม้วันนี้เธอจะจากไปแต่สไตล์ Kate Spade ยังคงอยู่ตลอดกาล ดังคำกล่าวที่ว่า “แฟชั่นนั้นจางหาย แต่สไตล์อยู่เป็นนิรันดร์” ของ Yves Saint Laurent ผู้ก่อตั้งแบรนด์ YSL

เชื่อว่าไม่มีสาวๆ คนไหนไม่รู้จักแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง Kate Spade New York ที่ครอบครองหัวใจสาวๆ ทั่วโลก ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวและความโดดเด่นของกระเป๋าที่มีสีสันสดใส นับเป็นซิกเนเจอร์ของแบรนด์ที่ทำให้ทุกคนจดจำและนึกถึงอยู่เสมอ

เคท สเปด มีผลงานหลาย ๆ ด้าน ทั้งการออกแบบเสื้อผ้า, รองเท้า, เครื่องประดับ แต่มาโด่งดังสุดขีดกับการออกแบบกระเป๋าถือกับแบรนด์ Kate Spade New York ที่ครองใจสาว ๆ ทั่วโลกมานานหลายปี
Kate เจ้าของแบรนด์ชื่อดัง



Kate Spade New York ผลิตภัณฑ์แฟชั่นของอเมริกา มีสินค้าทั้งของผู้หญิงและผู้ชาย แต่จะเน้นไปทางผู้หญิงมากกว่า ส่วนเรื่องของความหรูหรานั้น Kate Spade จัดอยู่ในระดับของ Premium Hi-Street ไม่ถึงขั้นเป็น Hi-end แต่ก็ไม่ได้มีขายตามห้างสรรพสินค้าทั่วๆไป มีขายเฉพาะในห้างสรรพสินค้าระดับ Premium ทั่วโลก ตัวอย่างแบรนด์ระดับใกล้เคียงกัน เช่น Coach, Longchamps, BCBG, Juicy Couture, Armani Exchange, Marc by Marc Jacobs, Michael Kors เป็นต้น

“Kate Spade” เป็นชื่อของดีไซน์เนอร์สาวเก่ง ซึ่งจริงๆ แล้วเธอมีชื่อเดิมว่า แคทเธอรีน โนล บรอสเนฮาน (Katherine Noel Brosnahan) เธอเกิดเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม ค.ศ. 1962 ในเมืองแคนซัส รัฐมิสซูรี เป็นลูกสาวของ June (Mullen) และ Earl Francis Brosnahan หลังจากจบมัธยมคาทอลิกหญิง เธอย้ายไปเข้าเรียนนิเทศศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัย Arizonz State รัฐแอริโซนา ซึ่งที่นั่นทำให้เธอได้พบกับ Andy Spade ในปี 1983 และทั้งคู่ก็ตกหลุมรักกัน

สำหรับเส้นทางในสายแฟชั่นของ “เคท สเปด” เริ่มต้นจากเธอและแอนดี้ย้ายเข้ามาอยู่ที่มหานครนิวยอร์ก ในปี 1986 หลังจบการศึกษา ในตอนนั้นเธอได้ทำงานที่แผนกแฟชั่นที่ Conde’ Nast เป็นผู้ช่วยในกองถ่าย เธอทำทุกอย่างตั้งแต่ผูกเชือกรองเท้าให้นางแบบ รีดเสื้อผ้า หรือหาขนมให้กับช่างแต่งหน้า ส่วนแอนดี้ก็ทำงานในบริษัทเอเจนซี่โฆษณา

เคทค่อยๆ สะสมประสบการณ์ไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเธอได้เป็น Senior Fashion Editor ที่ดูแลเรื่องเครื่องประดับที่นิตยสาร “มาดมัวแซลล์” (Mademoiselle) ซึ่งปัจจุบันได้ปิดตัวลงแล้ว หนึ่งในหน้าที่หลักของเธอก็คือการตามหากระเป๋าเพื่อมาถ่ายแบบ และนั่นคือจุดเริ่มของความคิดที่จะเปิดบริษัทกระเป๋าถือ เพราะเธอมองไม่เห็นความก้าวหน้าในอาชีพที่เธอทำอยู่สักเท่าไร

เธอและสามีร่วมกันสร้างแบรนด์กระเป๋าของตัวเองที่เรียบง่าย จึงกลายมาเป็น “เคท สเปด นิวยอร์ก” (Kate Spade New York) ขึ้นในปี 1993 โดยเคทใช้ชื่อเล่นของเธอ Kate และนามสกุลของแอนดี้ Spade รวมกันจึงเป็นจุดกำเนิดที่เรียบง่ายของแบรนด์ Kate Spade นั่นเอง